World Mental Health Day 2024 กับเรื่อง AI มาช่วยลด Employee Burnout พร้อมตัวอย่างองค์กรระดับโลก
October 29, 2024
โดย ปิยะพร ขุนทองเอก, Marketing Associate, Pragma and Will Group
แชร์บทความนี้
เนื่องจากวันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวัน World Mental Health
ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงเรื่อง Mental Health หรือ สุขภาพจิต ในที่ทำงาน
ซึ่งมีงานวิจัยที่น่าสนใจว่า AI หรือ Artificial Intelligence สามารถช่วยลด Employee Burnout หรือ ภาวะหมดไฟของพนักงานได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวถึงภาวะหมดไฟว่าเป็น “ปรากฏการณ์ทางอาชีพ” ที่พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้า อคติ และประสิทธิภาพการทำงานลดลง
จากสถิติของ Gallup ในปี 2023 เผยให้เห็นว่าพนักงานจำนวนมากถึง 76% เผชิญกับภาวะหมดไฟในที่ทำงานเป็นครั้งคราว และ 28% รายงานว่ารู้สึกหมดแรงจะทำงาน “บ่อยมาก” หรือ “รู้สึกประจำ”
ภาวะหมดไฟปรากฏในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่แรงจูงใจในการทำงานลดลง การขาดงานและอัตราการลาออกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาวะหมดไฟ ยังเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพทางกายและจิตใจมากมาย
ผลกระทบทางการเงินต่อธุรกิจก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยมีประมาณการว่าภาวะหมดไฟมีค่าใช้จ่ายต่อนายจ้างในสหรัฐอเมริกาประมาณ 190 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ องค์กรต่าง ๆ จึงต้อง Explore วิธีการต่าง ๆ เพื่อมาช่วยจัดการกับภาวะหมดไฟของพนักงาน ซึ่ง AI ก็เป็นหนึ่งในวิธีการเหล่านั้น
AI จะเข้ามามีบทบาทในการช่วยเรื่อง Employee Burnout อย่างไร
AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และจำแนกรูปแบบต่าง ๆ
AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลพนักงานต่าง ๆ ออกมาเป็น ‘สัญญาณเตือน’ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องภาวะหมดไฟของพนักงานแบบเชิงรุก
เช่น สามารถเห็นข้อมูลแบบ Real time เกี่ยวกับ Employee Survey หรือ Exit Interview ว่ามีรูปแบบที่เกี่ยวข้องกันอย่างไร อาทิ เหตุผลในการลาออกจากแผนกหนึ่ง มาจากการไม่ได้ Ownership จากการทำงาน รู้สึกโดนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ทำให้องค์กรควรเข้าไปดูถึงวิธีการแบ่งงาน และทำงานของหัวหน้างานแผนกนั้น ๆ เพราะมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มพนักงานที่ลาออกไป เป็นต้น
AI สามารถส่งสัญญาณเตือนหากมีความเสี่ยงเรื่อง Overwork ของคนใดคนหนึ่ง
AI สามารถเข้าถึง Work Pattern เช่น จำนวน Email ในแต่ละวัน ความถี่ในการประชุม การต้องทำงานหลังเลิกงาน ฯลฯ ทำให้สามารถระบุ ‘ความเสี่ยงต่อการทำงานหนักเกินไป’ เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานรู้สึก Burnout ในปริมาณงานที่เยอะ และขาดการพักผ่อน
AI สามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพและระดับความเครียดของพนักงาน
สามารถตรวจสอบข้อมูลการสื่อสาร ระบุสัญญาณที่อาจเป็นไปได้ของความเครียด ความรู้สึกหงุดหงิด ความไม่เห็นด้วยกับเรื่องบางอย่างในองค์กร อีกทั้ง สามารถผสมผสานกับอุปกรณ์สวมใส่ได้ เพื่อติดตามข้อมูลทางสุขภาพกาย เช่น sleep patterns, heart rate ทำให้สามารถเสนอข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพและระดับความเครียดของพนักงานได้
ต่อยอดการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ออกมาเป็นข้อแนะนำเพื่อสนับสนุนเรื่อง Mental Health ของพนักงาน
ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง AI Algorithm สามารถระบุการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมหรือตัวชี้วัดทางสรีรวิทยาที่อาจบ่งชี้ถึงจุดเริ่มต้นการ Burnout ของพนักงานได้
สัญญาณเหล่านี้ ทำให้องค์กรสามารถแก้ไขปัญหาทันเวลา ก่อนพนักงานจะตกในภาวะเครียด Burnout หรือรู้สึกไม่มีส่วนร่วมในที่ทำงาน เป็นต้น
ซึ่งข้อเสนอแนะ จะมาจากข้อมูลเชิงลึกที่ AI วิเคราะห์ออกมา เช่น ปรับเปลี่ยนภาระงาน แนะนำเทคนิคลดความเครียด สนับสนุนให้พนักงานมีเวลาพักออกกำลังกาย เป็นต้น
Impact จากการให้ความสำคัญกับเรื่อง Mental Health ของพนักงานในองค์กร
- เพิ่ม Productivity ในการทำงาน: พนักงานที่มีความสุขมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าถึง 13% (University of Oxford, 2024)
- ลด Employee Turnover Rate: 61% ของพนักงานในสหราชอาณาจักรที่ลาออกหรือวางแผนจะลาออกในอีก 12 เดือนข้างหน้า ระบุว่าสุขภาพจิตที่ไม่ดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ตัดสินใจลาออกจากองค์กร (Deloitte, 2024) ส่งผลให้ต้นทุนในการจ้างงานพนักงานใหม่ลดลง
- มีแนวโน้มที่จะเพิ่มระดับ Employee Engagement ในองค์กร เนื่องจากพนักงานเห็นว่าองค์กรมีทางแก้ไข ในเรื่องที่ตนกำลังเครียดและกังวลอยู่
Final Thought เกี่ยวกับเรื่อง AI และการช่วยเหลือภาวะหมดไฟของพนักงาน เนื่องใน World Mental Health Day 2024
องค์กรที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลหลายแห่งได้เริ่มใช้ AI เพื่อแก้ไขเรื่อง Employee Burnout แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่จับต้องได้ต่อความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงาน
เช่น Microsoft ได้ผสมผสาน AI เข้ากับแพลตฟอร์ม Viva Insights เพื่อให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล ซึ่งช่วยให้พนักงานและทีมระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะหมดไฟ
และปรับให้ Work Habit มีความ Healthy มากขึ้น ทีม People Analytics ก็ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพนักงาน ส่งเสริมโครงการต่าง ๆ เช่น โปรแกรมการฝึกอบรม Manager ในการช่วยเหลือพนักงาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อนาคตของ AI ในการช่วยเหลือภาวะ Burnout ของพนักงาน จะ ‘ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ AI เพียงอย่างเดียว’ แต่ต้องผสมผสานกับ วัฒนธรรมองค์กร วิธีการปฏิบัติตัวของผู้นำในองค์กร และนิยามของ การสมดุลระหว่างงานกับชีวิต ของแต่ละองค์กร
อีกทั้ง ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเทคโนโลยี และความเห็นอกเห็นใจของมนุษย์ กับความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอย่างยั่งยืน
#PragmaandWillGroup #AIatWork #EmployeeBurnout #EmployeeWellbeing #AI #EmplpyeeMentalHealth #HR #Organization #WorldMentalHealthDay #WorkBurnout
หากสนใจเรื่องการสร้างประสบการณ์ที่ดีของพนักงานในองค์กร สามารถติดต่อ Pragma and Will Group ได้ที่ Contact
Reference:
People Matters Global. (2024). Can AI help prevent employee burnout. People Matters Global
ติดตามบทความที่เกี่ยวข้อง
- อะไรคือ Sweet Spot of Stress – ความเครียดแบบไหนที่เป็น ‘จุดกลมกล่อม’ Read More
- 4 days work week หรือทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ pilot program ที่หลายองค์กรกำลังจับตามอง Read More
- Quit-Tok คืออะไร การเปิดเผยเรื่องราวขณะลาออก และ Toxic Workplace Story Read More