Work Life Balance VS Work Life Integration
July 20, 2023
โดย ปิยะพร ขุนทองเอก, Marketing Associate, Pragma and Will Group Co., Ltd.
แชร์บทความนี้
Work Life Balance ยังเป็นสิ่งที่ Gen Z มองหาอยู่หรือไม่ ?
Gen Z หรือกลุ่มคนที่จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการทำงานในอนาคต ซึ่งจะเป็นแรงงานในสัดส่วนกว่า 27% ในปี 2025 พวกเขายังต้องการ Work Life Balance เหมือน Generation อื่น ๆ หรือพวกเขาวาดภาพรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างไร…
วันนี้เราอยากให้ทำความรู้จักกับ Work Life Integration หากอธิบายสั้น ๆ จะหมายถึง การผสมผสานชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัวแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นตาม Lifestyle ของแต่ละคน ซึ่งสไตล์การทำงานแบบนี้ เป็นรูปแบบที่ Gen Z หรือคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่กำลังมองหาอยู่
ซึ่ง Work Life Integration (รูปแบบที่ Gen Z หรือคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ต้องการ) และ Work Life Balance (รูปแบบที่ Generation อื่น ๆ ต้องการ) มีเป้าหมายเดียวกัน คือ มุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว ให้พนักงานมีความสุข และสามารถรับผิดชอบทั้ง 2 บทบาทได้อย่างดี
มาดูกันว่าแล้ว Work Life Balance และ Work Life Integration แตกต่างกันยังไง
โดยสรุปคือ Work Life Balance จะเน้นที่การขีดกรอบเวลาชัดเจน ระหว่างเวลาทำงาน และเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว โดยเมื่อถึงเวลาพัก จะแยกเรื่องงานออกไปอย่างสิ้นเชิง และมุ่งเน้นที่การพักผ่อน และสร้างความสมดุลชีวิต
ส่วน Work Life Integration จะโฟกัสที่การสร้าง Harmony ระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่งให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการบริหารตารางชีวิต โดยให้งานที่รับผิดชอบเสร็จและได้มีเวลาหาความรู้เรื่องที่ตนเองสนใจ
พักผ่อน VS ได้ใช้ชีวิต
ผลลัพธ์ของฝั่ง Work Life Balance คือ ได้พักผ่อน ลดความเครียด ไม่เอาเรื่องงานมาปนกับชีวิต แต่ผลลัพธ์ของ Work Life Integration จะต่างกันออกไป คือ อาจไม่ได้ช่วยลดความเครียด แต่ช่วยให้มีอิสระในการจัดการชีวิต เมื่อทำงานของตนเสร็จ จะเอาเวลาไปเรียนคอร์สออนไลน์ ออกกำลังกาย ลองเริ่มสร้างธุรกิจส่วนตัว ฯลฯ ก็ตามแต่ความชอบของคนนั้น ๆ
ซึ่งตัวอย่างงานที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีความเป็น Work Life Integration สูง จะเป็นงานประเภท Freelance, Contract, มีธุรกิจส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งอาจเป็นเรื่องยาก ถ้าพนักงานออฟฟิศทั่วไปที่ทำงานแบบ 9-to-5 (มีเวลาเข้า-ออกงานชัดเจน) จะมี Work Life Integration ได้เท่ากับประเภทงานที่กล่าวไปข้างต้น
ดังนั้น องค์กรต้องหมั่นตรวจสอบว่า รูปแบบการทำงานแบบใดที่ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงาน และสามารถดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการดึงดูด คนรุ่นใหม่ เข้ามาเป็นพนักงานของตน
ไขคำตอบว่า ทำไม Gen Z ถึงต้องการ “Work Life Integration” มากกว่า Work Life Integration
- เพราะ Gen Z ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน และใช้ชีวิตส่วนตัว อยากมีอิสระในการออกแบบตารางชีวิตของตนเอง โดยที่สามารถรับผิดชอบงานต่าง ๆ ได้จนเสร็จ และมีเวลาค้นคว้าเรื่องที่ตนเองสนใจ (Flexibility Seekers)
- เพราะ Gen Z ให้ความสำคัญกับ Lifestyle การใช้ชีวิตของตนเอง การที่บังคับให้เข้าออกงานเป็นเวลา หรือมีการตอกบัตรเข้างานอย่างเข้มงวด อาจไม่ใช่สิ่งที่ Generation นี้ต้องการ
- เพราะ Gen Z มีความเคยชินในการใช้ Technology มาช่วยในการทำงาน และคิดว่า Technology สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ และสร้างความ Seamless ได้ระหว่างทีม ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ หรือที่อื่น ๆ ก็ตาม (Digital Native)
- เพราะ Gen Z จะถูกกระตุ้นด้วย Purpose และ Passion ในเรื่องที่ชอบ ไม่ได้ถูกกระตุ้นด้วยการมีเวลาเข้า-ออกงานที่ชัดเจน (Purpose-Driven)
ดังนั้น องค์กรต้องหาวิธีบริหารจุดสมดุล ระหว่างความต้องการขององค์กร และความต้องการของพนักงานแต่ละ Generation ให้ได้ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
#PWG #Pragmaandwillgroup #WorkLifeBalance #WorkLifeIntegration #GenZ
ติดตามบทความต่อไปที่เกี่ยวข้อง
- สร้าง Employee Engagement ที่ดีในองค์กร Read More
- Generation Gap หนึ่งในความท้าทายในที่ทำงาน Read More
- ทำความรู้จักกับ Green HR Read More